นิทานส่งเสริมคุณธรรม

 ตำนานปาท่องโก๋

 

 

                         เมื่อนานมาแล้ว ในประเทศจีน มีขุนพลผู้กล้าหาญและซื่อสัตย์สุจริตคนหนึ่งชื่อว่า ขุนพลงักฮุยขุนพลงักฮุย 

        เป็นผู้ที่รักชาติบ้านเมืองอย่างมาก นำกองทัพ ออกสู้รบกับข้าศึกอย่างสุดความสามารถชื่อเสียงเรื่องความ 

        ซื่อสัตย์รักชาติของ ขุนพลงักฮุยขจรขจาย จนแม้แต่ทหารข้าศึกเมื่อเห็นธงของกองทัพของงักฮุย ซึ่งมีตัวอักษร 

        ว่า ”งักฮุยยักผู้จงรัก” เท่านั้น ก็ตกใจจนขวัญบิน และต่างพากันแตกนี้กระเจิงไม่กล้าเข้ารบด้วย

                         มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่ง ข้าศึกเคยส่งของขวัญราคาแพง เป็นทองคำห้าร้อยแท่งเพชรนิลจินดาห้าร้อยหีบ 

           ไข่มุกห้าร้อยเส้น เพื่อให้ขุนพลงักฮุยแกล้งยอมแพ้และยอมให้ข้าศึกรุกรานประเทศโดยง่ายขุนพลงักฮุย 

            โกรธมาก จึงประหารคนที่ข้าศึกส่งมาทันที และนำสมบัติดังกล่าวไปเททิ้งในแม่น้ำ แต่น่าเสียดาย ในสมัยนั้น 

            มีขุนนางขี้โกงไร้คุณธรรมอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่าฉินฮุ่ย ขุนพลฉินฮุ่ยเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ในหมู่ขุนนางทั้งหลาย 

            เขาและภรรยาพยายามกลั่นแกล้ง ใส่ร้าย ขุนพลงักฮุย ตลอดเวลา เพราะสองสามีภรรยาต้องการขายชาติให้ 

            แก่ศัตรูจนในที่สุด ขุนพลงักฮุยก็ถูกขุนพลฉินฮุ่ยประหารชีวิต ด้วยความผิดที่กลับมาเมืองหลวงไม่ทันประชาชน 

            รับฟังข่าวนี้ด้วยความเดือดแค้น ต่างร้องไห้อาลัยรักขุนพลงักฮุยกันทั่วหน้า ประชาชนแสดงออกถึงความโกรธ 

            แค้นฉินฮุ่ยคนขายชาติ ด้วยการนำแป้งสาลีมาปั้นเป็นรูปของฉินฮุ่ยกับภรรยาแล้วติดกันเป็นคู่ นำไปทอดใน 

            กระทะน้ำมัน เพื่อแก้แค้นแทน ขุนพลงักฮุย แล้วเรียกว่า "ฉินฮุ่ยทอดน้ำมัน" หรือ ปาท่องโก๋ในปัจจุบัน

                         ปัจจุบัน ที่ริมทะเลสาบในเมืองหังโจว มีสุสานของขุนพลงักฮุยตั้งอยู่ ผู้ที่ไปเที่ยวทะเลสาบซีหู จะต้องพา 

            กันไปเยือนเพื่อเคารพวีรชนขุนพลงักฮุยทุกคน ส่วนรูปหุ่นเหล็กหล่อของฉินฮุ่ยสามีภรรยาซึ่งคงเข่าอยู่หน้า 

            หลุมศพของขุนพลงักฮุย กลับถูกเตะถีบถ่ม น้ำลายจากผู้ไปเยือนไม่เว้นแต่ละวัน แม้รูปหล่อนี้จะชำรุดและ 

            ซ่อมแซมหลายครั้งก็ตาม ก็ยังถูกผู้คนทั้งหลายที่ชิงชังในพฤติกรรมของฉินฮุ่ยถีบกระทืบและถ่มน้ำลายรดอยู่ 

            ไม่ขาด ฉินฮุ่ยผู้รักตัวกลัวตาย เมื่อตอนที่มีอำนาจอยู่ได้กระทำแต่เรื่องเลวๆ อย่างหน้าไม่อายหึกเหิม กล้าแม้ 

            กระทั่งขายชาติหาศีลธรรมและความดีอะไรไม่ได้เลย เขาจึงได้รับแต่การด่าทอสาปแช่ง ชื่อเสียงเหม็นคลุ้งไป 

            ทั่วฟ้าดิน ตราบเท่าทุกวันนี้ ส่วนขุนพลงักฮุย แม้จะ ถูกกล่าวหาต่างๆนานา และต้องตายในเงื้อมมือของคนเลว 

            แต่ชื่ออันทรงเกียรติของเขาได้จารึกอยู่ในใจของประชาชนอยู่เป็นนิรันดร์ และขจรขจายไปชั่วฟ้าดินสลาย

            เรียบเรียงใหม่จากหนังสือ สายธารแห่งปัญญา โดย หงอิ้งหมิง, บุญศักดิ์ แสงระวี เรียบเรียง

เด็กๆ กับกระเป๋าเงินที่หายไป

                      เด็กชายสองคนเดินทางไปยังเที่ยวยังเมือง ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของพวกเขาไม่ไกลนัก ระหว่างทางเด็กชายคนหนึ่ง                

            พบกระเป๋าเงินใบหนึ่งตกอยู่ข้างทาง เขาจึงชวนเพื่อนเดินเข้าไปดู และเก็บมันขึ้นมา เมื่อเปิดดูก็พบว่าข้างในมีเงินอยู่

            จำนวนมาก เด็กชายดีใจมาก เขาร้องดังๆ ว่า  “เงินๆๆๆ เรารวยแล้ว”  แต่เด็กชายอีกคนหนึ่งเพียงยืนดูเฉยๆ แล้วเขาก็พูดขึ้น

            ว่า   “แต่มันเป็นเงินของคนอื่นนะ บางทีเจ้าของเขาอาจตามหามันอยู่ก็ได้ เราไปหาเจ้าของมันไม่ดีกว่าหรือ”

            เด็กชายคนแรกกลับรู้สึกเสียดายเงิน เขาอยากเอามันไปซื้อของต่างๆ ที่อยากได้ตั้งมากมาย จึงตอบเพื่อนไปว่า

            “ของที่หล่นอยู่ ใครพบก็ต้องเป็นของคนๆ นั้นซิ เราพบก็ต้องเป็นของเราซิ”  พูดจบ เด็กชายคนแรกก็เก็บกระเป๋าเงินไว้ในเป้

            ที่กลางหลังของเขา   เมื่อไปถึงตัวเมือง พวกเขาแวะที่ร้านขายของชำ แล้วซื้อน้ำดื่มคนละขวด เด็กชายคนแรกหยิบกระเป๋า

             สตางค์ออกจากเป้แล้วหยิบธนบัตรใบหนึ่งออกมาซื้อลูกอมที่เขาอยากกิน เจ้าของร้านสงสัยอย่างมาก เด็กๆ อายุเท่านี้ไม่

             น่าพกเงินมากๆ เขาจึงถามเด็กๆ ว่า   “พวกเธอได้เงินมาจากไหนกัน พ่อแม่ให้มาหรือ?”   เด็กทั้งสองรู้สึกกลัว จึงพากัน

             ส่ายหน้า แล้วก็คว้าเงินทอน วิ่งออกจากร้านไป พวกเขาวิ่งไปจนถึงสวนสาธารณะ จึงหยุดพักที่เก้าอี้ยาวตัวหนึ่ง ด้วยความ

            เหนื่อยจึงรู้สึกหิวขึ้นมา ทั้งสองปรึกษากันว่าจะไปที่ร้านรถเข็นใกล้ๆ เพื่อซื้อของกินดีไหม เด็กคนที่เก็บกระเป๋าเงินไว้กลัวว่า

            จะเกิดเรื่องอีกจึงละล้าละลัง ไม่กล้าไป   ทันใดนั้น ตำรวจคนหนึ่งก็มายืนอยู่ข้างหลังเด็กทั้งสอง เขาเอามือจับไหล่เด็กๆ ไว้

            เพื่อป้องกันเด็กวิ่งหนี เด็กๆ ตกใจมากที่อยู่ๆ ก็มีใครมาจับตัว แต่เมื่อมองไปก็เห็นว่าเป็นตำรวจ ก็ยิ่งตกใจกันยิ่งขึ้น 

            หน้าของพวกเขาซีดลงไปอีกตำรวจยิ้ม พลางถามขึ้นว่า   “เจ้าของร้านชำ บอกว่าพวกเธอมีเงินในกระเป๋ามากเกินเด็ก 

            ไปขโมยเงินใครมาหรือเปล่า"   เด็กทั้งสองพากันส่ายหน้า ไม่ตอบคำถาม ตำรวจคนนั้นจึงพาเด็กๆ ไปที่โรงพัก  ที่นั่น

            เจ้าของกระเป๋าเงินกำลังแจ้งความอยู่ ตำรวจรู้สึกสงสัยว่าจะเป็นเรื่องเดียวกัน จึงเข้าไปสอบถาม จากนั้นก็มองไปที่เด็กๆ

            ก็เห็นเด็กทั้งสองดูสลด และต่างผลักกันไปมา ดูเหมือนเด็กๆ จะยอมรับออกมาแล้ว ตำรวจคนนั้นจึงเข้าไปถาม

            “ว่าไง พวกเธอจะบอกไหมว่าได้เงินมาอย่างไร ถ้าขโมยมาก็คงต้องเข้าคุกแน่ๆ แต่ถ้าเก็บได้ก็บอกมานะ”

            พลางชี้ไปยังชายคนที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของโรงพัก พลางบอกว่า    “ชายคนนั้นทำกระเป๋าเงินหาย เขาต้องเอาเงินไปจ่ายค่า

             เทอมลูก แต่เงินหายไป เขากำลังเดือดร้อนมากทีเดียวนะ”  เด็กๆ มองหน้ากัน แล้วเด็กคนที่เก็บกระเป๋าเงินได้ก็พูดขึ้นว่า

             “ผมเก็บกระเป๋าเงินได้ครับ แต่ว่าผมเอาเงินไปซื้อลูกอมไปด้วยครับ ผมจะผิดไหมครับ”

            ตำรวจยิ้มรับ แล้วพาเด็กทั้งสองไปพบเจ้าของเงิน ตำรวจอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจก่อน ชายคนนั้นดีใจมาก เขาบอกว่า

            ไม่เป็นไร ค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ นั้นเขาไม่คิดอะไรหรอก แค่ได้เงินคืนมาเขาก็ดีใจแล้ว   ตำรวจจึงให้เด็กๆ คืนเงิน

             แก่ชายคนนั้น เด็กๆ เอากระเป๋าเงินออกจากเป๋คืนชายคนนั้นไปชายคนนั้นดีใจมาก เขาจึงพาเด็กๆ ไปเลี้ยงมื้อกลางวัน

            เป็นการตอบแทน    

ความทรงจำในลิ้นชัก “ตั๋วรถไฟครึ่งราคา”

                  ในสังคมเต็มไปได้วยการแข่งขัน ผู้คนนิยมความฉาบฉวยมากขึ้น อยากรวยทางลัด ฉลาดแกมโกง มองไปทางไหนก็มีแต่คนเอาเล็กเอาน้อย และหากินกับความโง่ของคนอื่น จนลืมไปว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ยั่งยืน ความฉาบฉวยมันก็แค่ประเดี๋ยวประด๋าว มันมีความเสื่อม ไม่ยืนนาน ถ้ามันยั่งยืนป่านนี้แม่ค้าโกงตาชั่งคงเป็นเศรษฐีไปแล้ว ตำรวจจราจรที่กินเล็กกินน้อยคงได้เชิดหน้าชูตาอย่างสง่างามในสังคม (อันนี้หมายถึงตำรวจจราจรบางท่านนะครับ เดี๋ยวตำรวจจราจรเข้ามาอ่านจะน้อยใจ ^^!)

…ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา กล่าวว่า โลกมีปัญหาทุกวันนี้เพราะคนเก่งไม่ใช่คนดี ผมว่ามันจริงนะ คนเก่งคือคนที่มีปัญญามากกว่าคนอื่น ทำให้สามารถคิดและทำในสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถคิดหรือทำได้ ถ้าคนเก่งที่ไร้คุณธรรม ก็คือคนที่ฉลาดแกมโกงและหากินบนความทุกข์ของคนอื่นนั่นเอง

…เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานฯ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าสามารถใช้คนได้เก่งที่สุดและเป็นคนที่ชอบใช้คนเก่ง แต่พอมีคนถามถึงการให้ความสำคัญของคนในองค์กร คำตอบที่ได้คือ ท่านให้ความสำคัญกับคนที่ มีความรับผิดชอบสูง มีความอดทนเยี่ยม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความขยันหมั่นเพียรก่อน และความเก่งอันดับสุดท้าย โดยให้เหตุผลว่า หากคนมีครบ 4 ประการนี้ก็สามารถพัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่งได้ …คุณธรรมความซื่อสัตย์เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่คนเราควรมี ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนก็ตาม ฝรั่งมีสุภาษิตว่า Honesty is the best policy “ความซื่อสัตย์เป็นนโยบายที่ดีที่สุด” เพราะความซื่อสัตย์สามารถเป็นได้ทั้งนโยบายขององค์กร นโยบายต่อตนเอง ต่อเพื่อน ต่อสังคม ต่อครอบครัว …Honesty is something you can’t wear out “ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่คุณไม่มีวันใช้จนชำรุด” แต่หากวันไหนที่คุณมองหน้าคนอื่นไม่ติด นั่นหมายความว่าคุณได้สูญเสียความซื้อสัตย์ไปแล้ว

…อารัมภบทมาซะยืดยาว วันนี้ผมนึกถึงนิทานเรื่องหนึ่งที่เคยได้อ่านในแบบเรียนสมัยประถม (หลักสูตร มานะ มานี ^^!) ค้นไปค้นมาก็ไปเจอในเว็บของคุณ วินทร์ เลียววาริณ จึงได้นำมาให้อ่านกัน

…ครอบครัวหนึ่งในชนบทมีฐานะยากจนข้นแค้นมาก วันหนึ่งผู้เป็นแม่ส่งลูกชายเข้ากรุงโดยทางรถไฟ สมัยนั้นเด็กอายุต่ำกว่าสิบสองขวบขึ้นรถไฟโดยเสียเงินเพียงครึ่งราคา ในวันที่แม่พาเด็กขึ้นรถไฟ เด็กน้อยอายุเกินสิบสองขวบมาได้เพียงวันเดียว ทว่านางซื้อตั๋วเต็มราคาให้เด็กทั้งที่เงินมีจำกัด ผู้เป็นแม่พูดกับลูกชายว่า “ลูกเอ๋ย นี่คือตั๋วรถไฟกับความจริง เก็บมันใส่กระเป๋าเถิด ไม่มีใครรู้หรอกว่าลูกอายุเกินสิบสองขวบมาหนึ่งวัน มีแต่ลูกเท่านั้นที่รู้ เสียเงินเพราะความสัตย์ดีกว่าได้เงินไม่กี่บาทเพราะหลอกลวงเขา…”

…ลึก ๆ แล้วผมเชื่อว่า “ความดีสามารถเอาชนะทุกอย่างได้” เพราะฉะนั้นอย่าด่วนพูดว่า “ทำดีแล้วไม่ได้ดี” จนกว่าเราจะได้ทำดีจนถึงที่สุดแล้ว

…เป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่กำลังพยายามทำดีอยู่ครับ สู่ต่อไป “มารไม่มี บารมีไม่เกิด”

ขอบคุณ: www.winbookclub.com สำหรับนิทานและคำคม